อุปกรณ์และส่วนประกอบของระบบไฮดรอลิก อุปกรณ์ไฮดรอลิกหรือส่วนประกอบของระบบไฮดรอลิก
คือส่วนที่นำมาประกอปกันเป็นระบบไฮดรอลิกซึ่งที่สำคัญ ๆ ก็มีดังต่อไปนี้
1. ปั้มไฮดรอลิก
( Hydraulic Pump) ปั้มไฮดรอลิกคือ
อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานจากการหมุนซึ่งขับโดยเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นแรงดันน้ำมันไฮดรอลิกเข้าสู่วงจรไฮดรอลิก
ปั้มที่ใช้เครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าขับโดยตรง
เมื่อใดก็ตามที่เครื่องยนต์หรือมอเตอร์หมุนปั้มก็จะทำงานไปด้วยดังรูปที่ 14
รูปที่ 14 ปั้มไฮดรอลิก
ชนิดของปั้มไฮดรอลิก * เกียร์ปั้ม
( Gear Pump) เป็นปั้มที่นิยมใช้งานมากในปัจจุบัน
จุดเด่นของปั้มชนิดนี้คือ
- มีโครงสร้างง่าย
ๆ ไม่สลับซับซ้อน
- มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา
- ไม่ค่อยเสีย
และง่ายต่อการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง มีหลายรุ่นให้เลือกตั้งแต่แรงดันน้อย ๆ
จนไปถึงแรง ดันมาก ๆ และราคาไม่แพง
เกียร์ปั้มยังแบ่งเป็นประเภทต่าง
ๆ ได้อีกดังต่อไปนี้
-
External Gear Pump คือ ปั้มที่มีเกียรสองตัวโดยที่ฟันของเกียร์ทั้ง
สองตัวนั้นขบกัน
-
Internal Gear Pump คือปั้มที่เกียร์จะขบอยู่กับตัวเรือนปั้มดังรูปที่ 15
รูปที่ 15 เกียร์ปั้ม
( Gear Pump) แบบต่าง
ๆ
* ปั้มแบบลูกสูบ
( Displacement Volume Pump) คุณลักษณะที่สำคัญของปั้มลักษณะนี้มีดังนี้
- มีประสิทธิภาพสูงเพราะว่าปั้มแบบนี้มีการรั่วที่เกิดขึ้นภายในน้อย
- ปั้มบางแบบสามารถที่จะปรับปริมาณการไหลได้โดยที่ใช้ความเร็วรอบเท่าเดิมเหมาะกับงานที่ต้องการแรงดันสูงและน้ำมันที่รั่วต่อรอบน้อยกว่า
รูปที่ 16 ปั้มแบบลูกสูบ
( Displacement Volume Pump) แบบต่าง ๆ
* Cam Plate
Pump จะมีใช้กับเครนไฮดรอลิกมาก
หลักการทำงานของปั้มแบบนี้ก็เหมือนกับปั้มแบบลูกสูบธรรมดา
ชิ้นส่วนที่บังคับให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นลงก็คือ แผ่นเอียงหรือ ( Cam
Plate) ซึ่งจะหมุนไปรอบ
ๆ เมื่อส่วนที่สูงของแผ่นเอียงไปสัมผัสกับด้านล่างของลูกสูบมันก็จะดันลูกสูบขึ้น
กลายเป็นจังหวะอัดของลูกสูบ
เมื่อแผ่นเอียงหมุนต่อไปจนถึงส่วนที่ต่ำของแผ่นเอียงสัมผัสกับด้านล่างของลูกสูบ
ก็จะทำให้ลูกสูบเริ่มเคลื่อนที่ลงกลายเป็นจังหวะดูดของลูกสูบ
การทำงานก็จะสลับอย่างนี้เรื่อยไป
รูปที่ 17 Cam
Plate Pump
* ปั้มแบบใบเวน
( Vane Pump) คุณลักษณะที่สำคัญของปั้มลักษณะนี้มีดังนี้
1. สามารถทำงานได้ที่ความเร็วรอบสูง
2. เหมาะสำหรับงานที่ใช้แรงดันต่ำจนถึงแรงดันขนาดปานกลาง
3. ราคาถูก
หลักการทำงานของเวนปั้มก็คือเมื่อปั้มหมุนก็จะสลัดใบเวนให้ออกมาสัมผัสกับตัวเรือนปั้ม
โดยที่แกนของใบพัดจะติดเยื้องศูนย์อยู่ภายในตัวเรือนปั้ม
จากการที่แกนของใบพัดที่ติดตั้งอยู่อย่างเยื้องศูนย์จึงทำให้เวลาที่ใบพัดของปั้มหมุนไปรอบ
ๆ เรือนปั้ม ปริมาตรช่องว่างระหว่างใบพัดของแต่ละช่วงไม่เท่ากัน
โดยที่ในช่วงจังหวะดูดช่องว่างของใบพัดจะถูกขยายออกจนกระทั่งช่องว่างมากที่สุด
หลังจากนั้นช่องว่างจะเริ่มลดลงก็เป็นจังหวะอัด การทำงานของปั้มชนิดนี้จะเงียบ
ไม่มีเสียงดัง
รูปที่ 18 ปั้มแบบใบเวน
( Vane Pump) แบบต่าง
ๆ
อุปกรณ์ทำงาน
( Actuator) คืออุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานจากแรงดันของน้ำมันไฮดรอลิกไปเป็นเคลื่อนที่ในเชิงเส้นดังรูปที่ 17 หรือการหมุนดังรูปที่ 18 อุปกรณ์ทำงานเป็นเสมือนกับกล้ามเนื้อแขนขาในร่างกายของคนเรา
อุปกรณ์ทำงานในระบบไฮดรอลิกก็คือ กระบอกสูบ ( Hydraulic Cylinder) และมอเตอร์ไฮดรอลิก
( Hydraulic Motor)
รูปที่ 19 อุปกรณ์ทำงานที่มีการเคลื่อนที่เชิงเส้น
( Hydraulic Cylinder)
รูปที่ 20 อุปกรณ์ทำงานที่มีการเคลื่อนที่เชิงมุมหรือหมุน
( Hydraulic Motor)
2. กระบอกสูบไฮดรอลิก
( Hydraulic Cylinder) กระบอกไฮดรอลิกนั้นเราสามารถที่จะแบ่งได้เป็นสองประเภทตามทิศทางของแรงที่กระทำบนลูกสูบคือ Single
Acting Cylinder และ Double
Acting Cylinder
* Single
Acting Cylinder กระบอกสูบไฮดรอลิกชนิดนี้มีรูทางเข้าและทางออกของน้ำมันไฮดรอลิกนั้นมีเพียงรูเดียวหรือมีรูที่ด้านเดียวของกระบอกสูบ
แรงที่เกิดจากการกระทำของแรงดันของน้ำมันไฮดรอลิกนั้นเกิดในทิศทางเดียวดังรูป
การกลับสู่ตำแหน่งเดิมของลูกสูบจะใช้แรงดันของสปริงหรือน้ำหนักของโหลดที่ดันกลับดังรูปที่ 21
* Double
Acting Cylinder ลูกสูบชนิดนี้จะมีรูเข้าออกของน้ำมันไฮดรอลิกสองทางหรือทั้งสองด้านของลูกสูบ
ทิศทางการเคลื่อนที่ไปมาของลูกสูบไฮดรอลิกในกระบอกสูบนั้นเป็นผลมาจากแรงดันของน้ำมันทั้งสองทางดังรูปที่ 22 ส่วนประกอบหลัก
ๆ ของกระบอกสูบไฮดรอลิกนั้นจะประกอบด้วย ลูกสูบ , กระบอกสูบ , ก้านสูบ ,
Oil Seal, Packing, และตัวกันฝุ่น
( Dust Seal) ดังรูปที่ 23
รูปที่ 21 กระบอกสูบแบบ Single
Acting
รูปที่ 22 กระบอกสูบแบบ Double
Acting
* แรงที่เกิดจากลูกสูบไฮดรอลิก
แรงที่ได้จากกระบอกสูบไฮดรอลิกนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการออกแบบของกระบอกสูบนั้น
ๆ ในระบบที่มีแรงดันน้ำมันไฮดรอลิกเท่า ๆ กัน
ถ้ากระบอกสูบลูกไหนมีพื้นที่หน้าตัดมากกว่าก็จะมีแรงมากกว่า จากสมการที่ 1
โดยที่
F คือ แรงที่ได้จากกระบอกสูบ
P คือ
แรงดันในกระบอกสูบที่มาจากระบบหรือปั้ม
A คือ
พื้นที่หน้าตัดของกระบอกสูบ
ดังนั้นในระบบที่มีแรงดันเท่า
ๆ กันกระบอกสูบที่มีขนาดพื้นที่หน้าตัดมากกว่าจะมีแรงมากกว่า
ตัวอย่าง
กระบอกไฮดรอลิกที่มีพื้นที่หน้าตัด 1 ตารางเซนติเมตร
( A = 1 cm2 ) ทำงานอยู่กับระบบที่มีแรงดัน 100 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร
( P = 100 kg/cm2 ) แรงที่เกิดขึ้นกับลูกสูบก็จะเท่ากับ F =1 cm2 x
100 kg/cm2 , = 100 kg
เช่นเดียวกัน ถ้าหากเราใช้กระบอกสูบที่มีพื้นที่หน้าตัด 10 ตารางเซนติเมตร
( A = 10 cm2 ) ทำงานในระบบเดียวกัน
แรงที่ได้จากลูกสูบคือ F
=10 cm2 x 100 kg/cm2 = 1,000 kg
* ความเร็วของลูกสูบ
ความเร็วที่ได้จากการเคลื่อนที่ของลูกสูบนั้น
จะขึ้นอยู่กับอัตราการไหล ( Flow Rate: Q) ของน้ำมันในระบบ
จากสมการที่ 2 คือ Q = AV โดยที่ Q คืออัตราการไหลของน้ำมัน
( Liters/Min), A คือ พื้นที่หน้าตัดของกระบอกสูบ ( cm2 ) และ V คือความเร็วของการเคลื่อนที่ของลูกสูบ
( cm/Sec) จากสมการจะเห็นว่ายิ่งพื้นที่หน้าตัดของลูกสูบยิ่งมาก
หรือลูกสูบยิ่งมีขนาดใหญ่จะทำให้การเคลื่อนที่ของลูกสูบนั้นช้าลง
ตัวอย่าง
กระบอกไฮดรอลิกที่มีพื้นที่หน้าตัด 1 ตารางเซนติเมตร
( A = 1 cm2 ) มีอัตราการไหลที่ 100 ลิตร/นาที
ความเร็วของลูกสูบก็จะเป็น
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นกระบอกสูบที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็น 10 ตารางเซนติเมตร
( A = 10 cm2 ) ความเร็วที่ได้ก็จะเป็น
จะเห็นว่ายิ่งกระบอกสูบมีพื้นที่หน้าตัดยิ่งมากความเร็วของลูกสูบจะลดลงตามสัดส่วนในกรณีที่ระบบมีอัตราการไหลที่เท่า
ๆ กัน
รูปที่ 23 ส่วนประกอบหลักของกระบอกสูบไฮดรอลิก
3. มอเตอร์ไฮดรอลิก
( Hydraulic Motor) มอเตอร์ไฮดรอลิกคือ
อุปกรณ์ทำงานที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแรงดันของน้ำมันไฮดรอลิกไปเป็นการหมุน
ส่วนโครงสร้างภายในจะเหมือนกันกับปั้มไฮดรอลิก แต่การทำงานจะกลับด้านหรือตรงกันข้ามมอเตอร์ไฮดรอลิกคือจะเปลี่ยนแรงดันเป็นพลังงานกล
แต่ปั้มไฮดรอลิกเปลี่ยนพลังงานกลเป็นแรงดัน
รูปที่ 24 มอเตอร์ไฮดรอลิกแบบต่าง
ๆ
4. ถังน้ำมันไฮดรอลิก
คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กักเก็บน้ำมันไฮดรอลิกเพื่อใช้หมุนเวียนในระบบ
หน้าที่ของถังน้ำมันไฮดรอลิก
1. กักเก็บน้ำมันไฮดรอลิกไว้เพื่อจ่ายให้แก่ระบบอย่างเพียงพอกับความต้องการ
2. กำจัดสิ่งสกปรกและสิ่งปนเปื้อนที่มีอยู่ในน้ำมันไฮดรอลิก
3. กำจัดน้ำออกจากระบบไฮดรอลิก
ระบายความร้อนให้กับน้ำมันไฮดรอลิก
ในระบบขนาดเล็กปริมาณของน้ำมันจะมากขึ้นเมื่อก้านสูบหดตัว และจะลดลงเมื่อก้านสูบหดตัว
ที่มา https://board.postjung.com/707868.html